การทำบุญ
1.การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงิน  แม้แต่บาทเดียว  เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า 
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ   เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่ พระพุทธเจ้า  ออกจากบ้าน  เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระจูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เขาเอาจิตนึกอธิฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ  แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้า ดอกไม้ นั้นด้วย
เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้น บูชาพระรัตนตรัย  โดยระลึกว่า  โอ อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา
2.การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อยแต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่  การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนัก ๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย  การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลาย ๆ คนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน  การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ 
ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ  เกิดความสุข และความอิ่มเอมใจนั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น  แต่ถ้าไม่มีเงินจริง ๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน  ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออมุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน  อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง
สรุปสั้น ๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก ๆ หรือ สังคมบุญนั้นก้จะมากขึ้นทวีคุณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้างโรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น  จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้น ๆ ที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป
3.การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย
เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น  ส่งให้แค่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง  และหลังจากนั้นก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน  และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย  เมื่อใดก็ตามที่มีผู้สวดและทำเหมือนกับเรา  เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง
4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ให้ได้บุญมากขึ้น  การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์  ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป  แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตาย ให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง  และเคล็ดลับสำคัญก็คือ  ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้น ๆ  เมื่อได้ซื้อมา หรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม  ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน  เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น  เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์และมีศีลมากว่าเรา  ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว  บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า  จากนั้นก็ขอ ผาติกรรม ชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน  ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้น ๆ มา  วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์  และชำระหนี้สงฆ์ด้วย  หลังจากนั้น จึงนำไปปล่อยในที่อันสมควร
อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้  ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้  บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า  จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ปล่อยตามยถากรรม ธีนี้ นอกจากได้บุญน้อยแล้ว  แถมยังได้บาปกลับมาด้วย  ดั้งนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย
5.การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น  การทำสังฆทานควนทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร (คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ) เครื่องนุ่งห่ม (ผ้าไตรจีวร หรือผ้าขนหนูสีสุภาพ) ยารักษาโรค และควรเพิ่มหนังสือธรรมมะเข้าไปด้วย  เพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรส พระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์
เคล็ดลับสำคัญ  เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้  เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง  แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ  ให้เรานั้นคั้งจิตอธิฐานถวายแค่พระพุทธเจ้าโดยตรง  และ พระปัจเจกพุทธเจ้า  พระอรหันต์  หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ  เพื่อให้อานิสงฆ์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี  และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด  และควรกรวดน้ำ  หลังทำบุญทุกครั้ง  เพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่าน  เป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้
สรุป เมื่อท่านได้ทราบว่า  ทำบุญอะไร  แล้วได้รับอานิสงส์ ของการทำบุญเป็นอย่างไร  สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย  เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของการทำบุญในแต่ละอย่าง  จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง  ดังนั้น  จึงสรุปว่า  การทำบุญอะไรก็ตาม  เพื่อได้ทำบุญแล้ว  ก็ได้รับผลลุญในทันที  กล่าวคือ  ขณะที่ทำบุญนั้น  สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร  สุขใจไหม  สบายในไหม  ภูมิใจไหม  ตรงนี้ไม่ต้องถาม  หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญผลของการทำบุญ  ผลชองการทำบุญ จะให้อาสงส์ไม่เหมือนกัน  บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง  แต่บุญบางอย่าง  ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว  ในเรื่องนี้  แสงดให้เห็นว่า  อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน  และผลบุญที่เราได้ทำนั้น  รอให้ผลอยู่ตลอดเวลา  แก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้  ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่  สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้  ถ้าไม่ประมาท  ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ  เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ  แล้วทำใจให้เลื่อมใสก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน  บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย (บุญจากการอนุโมทนาบุญ)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระไดลิง

โกฐสอ